02 725 6400
8 November, 2022 : By Admin Web3
นอกจากฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาใน Windows 11 ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการใช้งานหน้า Desktop และ Taskbar ที่ดูทันสมัย สวยงาม และง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น การเพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ ให้สอดคล้องและส่งเสริมการทำงานเป็นทีม อย่างเช่นการฝัง Microsoft Team มาให้ในเครื่อง หรือจะเป็นเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพด้านกราฟิคเพื่อเอาใจผู้ใช้สายเกมเมอร์ ด้วย Direct X 12 และฟังก์ชั่นเพิ่มความละเอียดและความสวยงามของภาพอย่าง Auto HDR ที่ปล่อยให้ผู้ใช้งานได้อัพเดตกันไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา
ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่ทาง Microsoft ให้ความสำคัญเป็นพิเศษไม่แพ้เหล่าฟีเจอร์ที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ นั่นก็คือ เรื่องของความปลอดภัย จะสังเกตได้จากการที่ตัวสเปคของ Windows 11 นั้นต้องการ Trusted Platform Module 2.0 (TPM 2.0) ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ (ชิป) ที่ทำหน้าที่เข้ารหัสไฟล์เข้าออกฮาร์ดดิสก์ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น สำหรับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ผู้ใช้สามารถเปิดการทำงานของ TPM 2.0 ได้โดยการเข้าไปตั้งค่าใน BIOS ด้วยตัวเอง
และทาง Microsoft ก็มีแผนที่จะใช้ชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Pluton Security Processor (PSP) ซึ่งเป็นชิปสำหรับความปลอดภัยที่มีลักษณะคล้ายกับ TPM 2.0 เป็นความร่วมมือกับพันธมิตรผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Intel, AMD และ Qualcomm โดยตัว PSP สามารถทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยทั้ง Windows Hello, BitLocker และ System Guard รวมถึงสามารถใช้เทคโนโลยี Cloud-to-chip ในอัปเกรดเฟิร์มแวร์ได้ตลอดเวลาผ่านระบบ Windows Update เพื่อรองรับการโจมตีรูปแบบใหม่ๆ จากผู้ไม่หวังดีได้อย่างสม่ำเสมออีกด้วย
สำหรับการใช้งาน Windows 11 เวอร์ชั่น Pro นั้น จะมีระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาจาก เวอร์ชั่น Home อย่าง BitLocker และ Windows Information Protection ซึ่งจะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับการทำงาน สำหรับคนทำงานที่บ้านและคนที่นำอุปกรณ์มาเอง หรือที่เรียกว่า Bring Your Own Device (BYOD) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ Microsoft ในการตอบรับวัฒนธรรม New Normal ของการทำงานในปัจจุบัน
BitLocker
อันที่จริงการเข้ารหัสแบบ BitLocker นี้มีมาตั้งแต่สมัยของ Windows Vista แล้ว ซึ่งเป็นการเข้ารหัสเต็มรูปแบบ (Encryption) ในระดับ AES 256 บิต ที่ใช้กันในการรักษาความปลอดภัยของธนาคารและองค์กรสำคัญต่างๆ รวมถึงพวกแรนซัมแวร์ (Ransomware) ก็ใช้การเข้ารหัสนี้เช่นกัน ซึ่งทำให้ยากต่อการถอดรหัสมาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องที่สูญหายหรือถูกขโมยไป โดยทำงานผ่านชิป Trusted Platform Module (TPM) ซึ่งเป็นชิปที่ติดตั้งบน Motherboard ของแต่ละเครื่อง ในการเข้ารหัสนั้น รหัสจะถูกแยกออกจาก BIOS อย่างสิ้นเชิง และจะถอดรหัสได้เมื่อผู้ใช้พิมพ์รหัส (Pin) ในขั้นตอนก่อนการบูตเครื่อง หรือใช้ USB Stick เท่านั้น
Windows Information Protection
อีกหนึ่งความปลอดภัยของ Windows 11 Pro อย่าง Windows Information Protection (WIP) ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า Enterprise Data Protection (EDP) เป็นการรักษาความปลอดภัยในการทำงานแบบเครือข่ายในองค์กรหรือบริษัทต่างๆ เหมาะสำหรับเครื่องแบบ BYOD ที่บางเกิดการรั่วไหลของข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจของบุคลากร โดย WIP จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับระบบ Cloud Computing Service ของ Windows Azure เรียกว่า Azure Rights Management ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถระบุข้อมูลสำคัญก่อนที่จะทำการถ่ายโอนแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดตามมาได้
NPU ย่อมาจากคำว่า "Neural Processing Unit" เป็นหนึ่งในรูปแบบการประมวลผลที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยการจำลองลักษณะการทำงานเซลล์ประสาทมนุษย์ในสมอง ทำให้สามารถรองรับข้อมูลพร้อมกันครั้งละมาก ๆ และประมวลข้อมูลเชิงลึกได้ เหมาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลที่มาจากอัลกอริทึมของเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือระบบ Machine Learning บนอุปกรณ์ และถ้าเทียบกันแล้ว NPU มีประสิทธิภาพมากกว่า GPU หลายเท่าเลยทีเดียว
Microsoft จึงได้นำการประมวลผลแบบ NPU มาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของการสนทนาทางวิดีโอ (Video Conference) ทั้งการแก้ไขดวงตา การเบลอพื้นหลัง การจัดเฟรมภาพอัตโนมัติ รวมไปถึงการใช้งานในแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ไม่จำกัดเฉพาะของ Microsoft เพียงอย่างเดียว เช่น การใช้งาน Voice Assistant การถ่ายภาพด้วยกล้อง AI การเรนเดอร์และปรับปรุงความลื่นไหลของเกม รวมถึงการจดจำข้อมูลทางทางชีวภาพ ทั้งการปลดล็อคมือถือด้วยใบหน้าหรือสแกนลายนิ้วมือ เป็นต้น
อย่างในชิปรุ่นใหม่ของ Apple ที่เรียกว่า M1 เองก็มีการใช้ NPU เข้ามาช่วยในการประมวลผลเช่นกัน (แต่เรียกว่า Neural Engine แทน) และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีการพูดถึงอย่างมากในแง่ของการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพอันเป็นผลของการใช้ NPU นั่นเอง
Zero-Touch Provisioning นั้นคือการที่ผู้ดูแลระบบเครือข่ายหรือองค์กรเพียงแค่ทำการเพิ่มข้อมูลของอุปกรณ์เข้าไปบนบริการ Cloud จากนั้นก็สามารถนำอุปกรณ์นั้นๆ ไปติดตั้งใช้งานในระบบเครือข่ายของสาขาใดๆ ที่มีการแจก DHCP และเชื่อมต่อออก Internet ได้ เพียงเท่านี้ระบบก็จะทำการเชื่อมต่อไปยัง Cloud และโหลดการตั้งค่าจากศูนย์กลางมาใช้ทันที ทำให้ง่ายต่อการขึ้นระบบในสาขาใหม่ๆ ที่มีเครือข่ายไม่ซับซ้อน
โดย Windows 11 Pro มีฟีเจอร์การทำงานที่รองรับการทำงานแบบ Zero-touch เช่น การเข้าถึงแบบได้รับมอบหมาย (Assigned Access) การจัดสรรแบบไดนามิก (Dynamic Provisioning) ระบบโรมมิงแบบองค์กร (Enterprise State Roaming) นโยบายกลุ่ม (Group Policy) และ การจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Device Management) เป็นต้น
สำหรับการเลือกเวอร์ชั่นการใช้งาน Windows 11 นั้น ควรพิจารณาถึงลักษณะการใช้งานที่ควรสอดคล้องกัน ในกรณีของบุคคลทั่วไป Windows 11 Home ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานแล้ว แต่ในระดับองค์กรที่ต้องมีการทำงานร่วมกับเครือข่าย Windows 11 Pro จะตอบโจทย์มากกว่า เนื่องจากมีความปลอดภัยที่มากขึ้นในการทำงานร่วมกับเครือข่ายในองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในยุคที่ข้อมูลมีมูลค่ามหาศาล การให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนเป็นอันดับแรกนั่นเอง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางนี้ โทร.02-725-6400 , 084-424-2428 / อีเมล sales@itsolution.co.th หรือ websupport1@itsolution.co.th
Tags : Windows 11, Microsoft Windows 11, Win 11, Windows 11 64bit, ซื้อ Windows 11, ขาย Windows 11, จำหน่าย Windows 11 แท้, Windows 11 ลิขสิทธิ์, Win 11 License, MS Win 11, MS Windows 11 ราคาถูก, ITSC, ITSolution
Thai
