6 April, 2022 : By Admin Web3



6 แนวโน้มด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้าง ที่มีบทบาทในปี 2565 ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของและผู้นำธุรกิจต้องรู้เพื่อเตรียมการ

การทำ Interactive design visualization ผ่าน extended reality (XR) จะกลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับสถาปนิกและวิศวกรมากขึ้นในปี 2565 และต่อ ๆ ไป

 

  • การทำงานร่วมกันจากระยะไกลจะยังคงต้องมีอยู่ต่อไป โดยจะต้องนำวิธีการทำ visualization แบบใหม่ๆมาช่วย รวมถึงการเพิ่มข้อกำหนดด้านความปลอดภัยให้สูงขึ้น
  • เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบออโตเมชัน (Automation) สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ตลอดจนถึงการบำรุงรักษาด้าน Supply chain
  • การสนทนาอย่างมุ่งมั่นจริงจังที่ให้ความสนใจในเรื่องของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Embodied Carbon) ที่ปล่อยจากการผลิตวัสดุและขบวนการก่อสร้าง ทำให้มีแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งเริ่มต้นของลำดับขั้นตอนของนวัตกรรมในการแก้ปัญหา

          หากว่าเราจะชี้ว่าอะไรเป็นเรื่องหลักของการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนๆที่เกิดไม่แน่นอน ก็คงจะเป็นเรื่องของการปรับตัว จะเห็นว่าบริษัทด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้าง (AEC) ตอบสนอง ปรับตัวใหม่ และพัฒนาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานใหม่ในปี 2564 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital และความท้าทายด้าน Supply-Chain ทั้งนี้เปรียบเสมือน พวกเขากำลังหาวิธีลับดินสอให้คม

 

          อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่การหยุดชะงักดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ปกติประจำวัน และขบวนการสร้างสรรค์นั้นยังมีไม่มากพอ การปรับตัวก็ยังไม่ได้ตอบสนอง จึงทำให้เกิดสภาวะที่นิ่ง จากการนำแนวทางการปฏิบัติแบบยั่งยืนมาใช้เป็นวงกว้างเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม AEC จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2565 และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในเรื่องรูปแบบการทำงานร่วมกันที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีใหม่ๆ และแม้กระทั่งแบบจำลองความจริงเสมือน (Virtual Realities)

 


 

ต่อไปนี้คือแนวโน้ม 6 ประการในด้านสถาปัตยกรรม การก่อสร้าง และอื่นๆ ที่น่าจับตามองสำหรับปีนี้

 

1. Industry Convergence Through Visualization

 

การผสมผสานส่วนต่างๆของอุตสาหกรรมโดยผ่านการแสดงภาพการมองเห็น (Visualization)

 

          ในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องทำงานจากที่บ้านหรือที่ไกลกัน การทำงานประสานกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับสถาปนิก และวิศวกรแล้ว การออกแบบโดยให้ทุกคนสามารถเห็นแบบจำลองเพื่อโต้ตอบกัน (Interactive Design Visualization) จะเป็นสิ่งที่เชื่อมความเข้าใจกันสำหรับผู้ที่ทำงานระยะไกล และช่วยให้มองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่น่าจะเป็น หลายๆคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ เริ่มตระหนักและเข้าใจดีว่า Extended Reality (XR) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จะเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ในการทำงาน

 

          เกมและเทคโนโลยี XR (เช่น Iris VR) ที่เป็นตัวช่วยเสริมเวิร์กโฟลว์การทำงานแบบดั่งเดิมของ AEC เพื่อให้สภาพแวดล้อมเสมือนจริงมีความสมจริงและคุ้มค่ากับการลงทุน การบริหารจัดการโครงการที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น และทำให้ลูกค้าเห็นด้วยกับข้อเสนอง่ายขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ล่าสุดจากบริษัทวิศวกรรมในนอร์เวย์ชื่อ Norconsult ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้การออกแบบสะพาน Route E39 โดยใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ที่สมจริงของ Unity ช่วยแสดงข้อกำหนดที่ลูกค้าความคาดหวังได้แต่เนิ่นๆ ในกระบวนการออกแบบ เพื่อเร่งรัดการตัดสินใจยอมรับของลูกค้า

 

ทีมงานของ Norconsult ใช้เทคโนโลยี VR บนทางหลวงชายฝั่ง E39 ในนอร์เวย์ ได้รับความอนุเคราะห์จาก Norconsult

 

          Visual Platform ที่มีเพิ่มขึ้นเหล่านี้มีความน่าสนใจมาก สามารถช่วยเรื่องการออกแบบเมืองในอนาคตได้เป็นอย่างดี โดยอาจจะเริ่มต้นจากโครงสร้างเดี่ยวๆตลอลไปจนถึงโครงสร้างระดับมหานครได้ ตัวอย่างที่สามารถเห็นได้คือสมาคมวิศวกรรมโยธาแห่งสหรัฐอเมริกา (ASCE) ร่วมมือกับวงการธุรกิจสิ่งก่อสร้างในโครงการ Experimental Design ซึ่งเป็นโครงการที่ผู้นำด้านความคิดและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคโนโลยี ร่วมสร้างสภาพแวดล้อม XR ที่เรียกว่า Future World Vision ซึ่งโครงการนี้จำลองสถานการณ์ให้เห็นถึงวิธีการสร้างเมืองในอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่โลกเสมือนจริงในอนาคตจะสามารถแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

 

          เมื่อพูดถึง metaverse สภาพแวดล้อมออนไลน์ที่มีความเสมือนจริงยิ่งขึ้น เช่น The Wild มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของการออกแบบ ด้านสถาปัตยกรรม นอกเหนือจากด้านการทำโฆษณาแล้ว ทีมออกแบบยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ในด้านการทำ Building Massing และการทำ Prototype ซึ่งในอีกแง่หนึ่งหมายถึงการใช้เวลาในโครงการ ซึ่งนำไปสู่ Workflow ที่มีการทำงานร่วมกันมากขึ้น การทดสอบประสิทธิภาพการใช้พลังงานและความสามารถด้านการก่อสร้างของ Façade อาคาร กลายเป็นเรื่องง่ายในการคำนวณหรือหาข้อมูล การนำเสนอแผนงานต่างๆจะเป็นการนำเสนอที่ทำได้อย่างประทับใจมากขึ้น และการอนุมัติจะเร็วขึ้นเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการสามารถได้เห็นแบบจำลองเสมือนก่อนที่สิ่งปลูกสร้างจริงจะสำเร็จ

 

พร้อมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลทวินแล้วหรือยัง ?

 


 

2. Increased Importance of Digital Twins for Owners

 

บทบาทสำคัญของ Digital Twins ที่มากขึ้นสำหรับเจ้าของโครงการ

 

          เมื่อเจ้าของโครงการมีคำถามในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ความต้องการใหม่ หรือนำอาคารและทรัพย์สินของตนกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไร และคำตอบก็คือการมีข้อมูลสำคัญที่มากพอ และจาก Digital Twins ซึ่งเป็นตัวแทนโครงสร้างแบบดิจิทัลที่สามารถติดตาม และวิเคราะห์ข้อมูลใช้งานได้ทุกรูปแบบจากข้อมูลจริงของอาคาร เจ้าของโครงการและนักออกแบบจะได้ทราบข้อมูลเชิงลึกที่น่าทึ่งเพื่อใช้สำหรับโครงการต่อไปว่าควรมีลักษณะอย่างไร Prologis ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลขนาดใหญ่ กำลังลงทุนอย่างมากในเรื่องการติดตามข้อมูลโครงการอาคาร ซึ่งช่วยให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเรียนรู้จากวิธีการทำงานของโครงสร้างต่างๆนับพันโครงสร้าง

 

          ประโยชน์ที่ได้รับจากเทคโนโลยีนี้ทำให้เจ้าของโครงการหลายราย จำเป็นต้องมีทีมสถาปนิกและวิศวกรที่มีประสบการณ์กับ Digital Twins เป็นของตัวเองหรือจ้างบริษัทภายนอกเพื่อใช้บริการนี้ นี่จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ดึงบริษัทสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ และโอกาสทางธุรกิจกับลูกค้า ดังเช่น บริษัท KEO และ Beca กำลังเริ่มให้บริการด้าน Digital Twin และบริษัทอื่นๆจะตามมาด้วย เช่นเดียวกับเทรนด์อื่นๆ ที่กำลังก่อตัวในปีนี้ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นทักษะที่เป็นที่ต้องการเช่นเดียวกับแนวโน้มอื่นๆอีกมากมายที่มีผลต่อปีนี้

 


 

3. Automation as Solution for Labor and Supply-Chain Woes

 

ระบบ Automation เป็นทางออกสำหรับการแก้ปัญหาแรงงาน และ Supply chain

 

          ระบบ Automation จะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในเรื่องการออกแบบในสภาวะที่ขาดแคลนวัสดุและแรงงานฝีมือ ช่วยลดความท้าทายเรื่องการหาบุคคลากรในการออกแบบและแก้ปัญหาเรื่อง Supply-chain การออกแบบทางสถาปัตยกรรม 100 แห่ง สามารถทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันได้ถึง 100 แบบ และด้วยการลงทุนในระบบ Automation นั้นงานออกแบบส่วนที่สำคัญสามารถทำให้เป็นแบบกึ่งอัตโนมัติได้ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาบุคลลากรขาดแคลนได้ และยังทำให้การออกแบบรวดเร็วขึ้นเช่นกัน

 

          ในประเทศอังกฤษบริษัทออกแบบชื่อ Ramboll ได้ใช้โปรแกรม Advance Steel ของ Autodesk ซึ่งเป็นโปรแกรมใช้ออกแบบรายละเอียดของโครงสร้างเหล็ก ที่สามารถออกแบบโครงสร้างติดตั้งป้ายบนทางด่วนอย่างอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการออกแบบ 40% และพร้อมทั้งสามารถออกแบบได้ภายในไม่กี่นาที แทนการใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือแม้กระทั่งเป็นวันๆ บริษัท SYSTRA ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของยุโรป สร้างแบบจำลองพารามิเตอร์ 3 มิติใน Autodesk Revit ในการออกแบบสะพานให้เป็นแบบจำลองอัตโนมัติ การออกแบบนี้มีประโยชน์มากในเรื่องการออกแบบที่อ้างอิงรหัส (Code Based Design Scenarios) ทำให้ช่วยประหยัดเวลาให้กับสถาปนิก และวิศวกรที่จะต้องประเมินค่าตัวแปรต่างๆในโครงการด้วยตนเอง ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่งานออกแบบส่วนต่างๆของโครงการได้อย่างสร้างสรรค์

 


 

4. Heightened Focus on Embodied Carbon

 

ให้ความสนใจกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น

 

          เมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับคาร์บอนทั้งหมด (Total Carbon) อุตสาหกรรม AEC ได้ให้ความสนใจคาร์บอนที่ปลดปล่อยในช่วงดำเนินการก่อสร้าง (Operational Carbon) และให้ความสนใจน้อยลงกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Embodied Carbon) ที่ปล่อยจากการผลิตวัสดุและขบวนการก่อสร้าง ( การปล่อยมลพิษที่เกิดจากการสกัด การกลั่น การผลิต และการเคลื่อนย้ายวัสดุ ) แต่จากความพยายามที่เป็นผลสำเร๊จในเรื่องการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในอาคารนั้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Embodied Carbon) ที่ปล่อยจากการผลิตวัสดุและขบวนการก่อสร้าง กลายเป็นปัจจัยใหญ่ในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่นับเป็นเรื่องโชคดีที่การประชุมสุดยอดสหประชาชาติว่าด้วยสภาพภูมิอากาศจะเป็นหัวข้อที่มีแนวโน้มมากขึ้น จากการประชุมด้านสภาพอากาศ COP26 ของ UN คือการตระหนักว่าอุตสาหกรรมหนักและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Embodied Carbon) ที่ปล่อยจากการผลิตวัสดุและขบวนการก่อสร้าง จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างเร่งด่วน และต้องเร่งแก้ไขด้วยกลยุทธระดับโลกการลดจำนวนการปลดปล่อยคาร์บอน ธุรกิจก่อสร้างและผู้ผลิตวัสดุจำนวนมากได้ขานรับการเรียกร้องด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง คำมั่นสัญญาทั่วทั้งอุตสาหกรรมในการลดการปล่อยมลพิษ และการปรับปรุงกระบวนการทางอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น โครงการ Green Steel และ การทำ Carbon-Capturing Cement.

 

          การเปลี่ยนแปลงกำลังดำเนินการอยู่ ตัวอย่างเช่น บริษัทสตาร์ทอัพ เช่น CarbonCure กำลังดักจับคาร์บอนและฝังไว้ในคอนกรีตหล่อ และ Nucor ผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์เหล็ก Econiq ใหม่ในปี 2022 ด้วยพลังงานสีเขียว 100% ซึ่งแนวคิดเล็กๆ แต่สร้างสรรค์เช่นนี้ ควบคู่ไปกับการยอมรับในวงกว้างของลูกค้าและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง จะส่งผลต่อเนื่องไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักออกแบบที่จะไม่ได้เน้นไปที่การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Embodied Carbon) ที่ปล่อยจากการผลิตวัสดุและขบวนการก่อสร้างในสูญญากาศ หากเปรียบเทียบระหว่างเรื่องของต้นทุนแล้ว คาร์บอน (ในการดำเนินงานและการรวมตัว) ของเสียจากวัสดุ และแม้แต่น้ำ ล้วนต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้วัสดุใหม่และออกแบบอาคารด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยี เช่น Spacemaker ซึ่งช่วยให้นักออกแบบวางแผนโครงการที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น และ Innovyze ซึ่งช่วยวิเคราะห์โตรงสร้างพื้นฐานการจัดการน้ำ ซึ่งทั้ง 2 อย่างสามารถช่วยลดคาร์บอนในการก่อสร้างอาคารในอนาคต

 

รถบรรทุก CarbonCure ในสถานที่ที่โรงงานคอนกรีต ได้รับความอนุเคราะห์จาก CarbonCure

 


 

5. More Resilient Buildings Thanks to the Internet of Things (IoT)

 

อาคารมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย Internet of Things (IoT)

 

          เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กดดันให้ดำเนินการมากขึ้นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับระบบที่ใช้ในอาคาร ในยุคที่การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องคิดใหม่ และรหัสอาคารต้องพัฒนาเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สถาปัตยกรรมและการก่อสร้างถูกเรียกร้องให้สร้างอาคารที่ชาญฉลาดขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจัดวางเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายล้างของสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้

 

          เมื่อพิจารณาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคที่มีอยู่ในตลาดเพื่อติดตามสุขภาพส่วนบุคคลโดยการตรวจสอบการเต้นของหัวใจหรือให้การวินิจฉัยเรื่องสุขภาพ เรื่อง IoT ซึ่งบทบาทในงานเหล่านี้จึงเกี่ยวข้องกับงานอาคาร เช่นตึกระฟ้าสามารถป้องกันได้อย่างไรระหว่างเกิดแผ่นดินไหว และมีสิ่งใดที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ทำอย่างไรให้คุณภาพอากาศของอาคารอพาร์ตเมนต์มีคุณภาพดีขึ้น เจ้าของอาคาร และผู้ดูแลเมืองต่างมองหาเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพ ช่วยคาดการณ์และป้องกันปัญหา และออกแบบอาคารอัจฉริยะและเมืองแห่งอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

 

ข้อมูล Internet of Things สำหรับอาคารจะช่วยให้เจ้าของตรวจสอบทุกอย่างตั้งแต่ความสมบูรณ์ของโครงสร้างไปจนถึงคุณภาพอากาศ

 


 

6. Data Strategies for Remote and Hybrid Firms

 

กลยุทธ์ข้อมูลสำหรับสำหรับธุรกิจระยะไกล และ พลังงานหมุนเวียนผสมผสาน

 

          การทำงานระยะไกลและแบบ Hybrid ยังคงจะไม่สิ้นสุดได้ในเร็วๆ ในขณะนี้ และนั่นเกิดเป็นความท้าทายอย่างมากในการรักษาความลับของข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และความลับของข้อมูลลูกค้าในขณะที่ทำงานที่บ้านผ่านเครือข่ายของบริษัท เนื่องจากมีความเสี่ยงจากแรนซัมแวร์และแฮ็กเกอร์เพิ่มขึ้น ในฐานะบริษัทการมีกลยุทธ์ด้านป้องกันข้อมูลจึงมีความสำคัญมาก และจำเป็นจะต้องลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อนำเครื่องมือที่จำเป็น การป้องกัน และบุคลากร

 

          เจ้าหน้าที่ไอทีซึ่งก่อนหน้านี้มุ่งเน้นไปที่ระบบปิดจำเป็นต้องปรับปรุงตัวเองให้ทันเพื่อทำความเข้าใจวิธีป้องกันให้กับเครือข่ายและรักษาความปลอดภัยของ IP และเมื่อพวกเขาทำได้ จะทำให้ทุกคนดีขึ้นในอนาคต เมื่อทุกคนอยู่ในโหมดที่สามารถทำงานผ่าน Network ได้ อุตสาหกรรมทั้งหมดก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถแชร์งานได้มากขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยรู้ว่าสตรีมข้อมูลดิจิทัลมีความปลอดภัย เชื่อถือได้ และได้รับการปกป้อง

 


 

 

Michael Gustafson เป็นผู้จัดการด้านกลยุทธ์ของ Autodesk สำหรับวิศวกรรมโครงสร้าง รับผิดชอบในการจัดทำกลยุทธ์อุตสาหกรรมระยะยาวสำหรับการวิเคราะห์โครงสร้าง การออกแบบ รายละเอียด และการประดิษฐ์

 

 


 









เลือกดูสินค้าได้ที่นี่ >>>  Autodesk Architecture Engineering Construction Collection

สอบถามรายละเอียดโปรแกรมเพิ่มเติมได้ที่ 02-725-6400 , 084-424-2428

 

Tags : Architecture, Engineering & Construction Collection, AEC, BIM Package, AEC Indusry, Article, Autodesk, AECCOL, Robots,