31 March, 2025 : By Admin Web3



BIM Workflow: ขั้นตอนการทำงาน BIM ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบโครงการ [2025]

BIM Workflow หรือ "กระบวนการทำงาน BIM" คือ "หัวใจสำคัญ" ของการนำ BIM ไปใช้ให้ประสบความสำเร็จ หากไม่มี BIM Workflow ที่ดี การใช้ BIM ก็อาจจะไม่แตกต่างจากการใช้ CAD 3 มิติ ทั่วไป บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ "ขั้นตอนการทำงาน BIM ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบโครงการ" เพื่อให้คุณเข้าใจภาพรวมของ BIM Workflow และนำไปประยุกต์ใช้ในโครงการของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

BIM Workflow คืออะไร? (What is BIM Workflow?)

BIM Workflow คือ "ลำดับขั้นตอนการทำงาน" ที่กำหนดวิธีการนำ "เทคโนโลยี BIM" และ "กระบวนการทำงานแบบ BIM" มาใช้ในโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่ "เริ่มต้นโครงการ" ไปจนถึง "จบโครงการ" และ "บริหารจัดการอาคารในระยะยาว"

 

Collaborative Process: กระบวนการทำงานร่วมกัน

BIM Workflow เป็นกระบวนการทำงานที่ "ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล" ข้อมูลจาก "โมเดล BIM" จะถูกนำมาใช้ในการ "ตัดสินใจ" ในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง ไปจนถึงการบำรุงรักษาอาคาร ทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่าง "มีข้อมูลรองรับ" และ "แม่นยำ" มากยิ่งขึ้น

 

Data-Driven: ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

BIM Workflow คือ "ลำดับขั้นตอนการทำงาน" ที่กำหนดวิธีการนำ "เทคโนโลยี BIM" และ "กระบวนการทำงานแบบ BIM" มาใช้ในโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่ "เริ่มต้นโครงการ" ไปจนถึง "จบโครงการ" และ "บริหารจัดการอาคารในระยะยาว"

 

ขั้นตอนหลักใน BIM Workflow (Key Stages in BIM Workflow):

BIM Workflow สามารถแบ่งออกเป็น "6 ขั้นตอนหลัก" ที่ครอบคลุมวัฏจักรชีวิตของโครงการก่อสร้าง

 

  • 1. Planning (การวางแผน): จุดเริ่มต้น BIM ที่สำคัญที่สุด

    • BIM Execution Plan (BEP): แผนแม่บท BIM ของโครงการ

      • BEP คืออะไร? "BIM Execution Plan (BEP)" หรือ "แผนปฏิบัติการ BIM" คือ "เอกสารสำคัญ" ที่กำหนด "เป้าหมาย ขอบเขต บทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ มาตรฐาน BIM" และ "กระบวนการทำงาน BIM" ของโครงการ

      • ทำไมต้องมี BEP?: BEP ช่วยให้ทุกฝ่ายในโครงการ "เข้าใจตรงกัน" เกี่ยวกับวิธีการนำ BIM ไปใช้ และ "ทำงานร่วมกัน" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความสับสนและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

      •  เนื้อหาใน BEP: BEP ควรครอบคลุมเนื้อหาต่างๆ เช่น "เป้าหมาย BIM ของโครงการ" "BIM Uses (การประยุกต์ใช้ BIM)" "ระดับความละเอียดของโมเดล (Level of Development - LOD)" "มาตรฐาน BIM ที่ใช้" "บทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่าย" "กระบวนการทำงาน BIM" "เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ BIM ที่ใช้"

    • Team Formation: จัดตั้งทีม BIM เตรียมพร้อมทำงาน

      • BIM Team: จัดตั้ง "ทีม BIM" ที่มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้าน BIM จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ)

      • Role & Responsibility Assignment: กำหนด "บทบาทหน้าที่" และ "ความรับผิดชอบ" ของแต่ละคนในทีม BIM ให้ชัดเจน

      • BIM Manager: แต่งตั้ง "BIM Manager" หรือ "ผู้จัดการ BIM" เพื่อเป็น "ผู้นำ" และ "ผู้ประสานงาน" หลักของทีม BIM

    • Software & Technology Selection: เลือกเครื่องมือ BIM ให้เหมาะสม

      • BIM Software Selection: เลือก "ซอฟต์แวร์ BIM" ที่เหมาะสมกับประเภทงาน ขนาดโครงการ และความเชี่ยวชาญของทีมงาน (เช่น Revit, ArchiCAD, Tekla Structures)

      • Hardware & Infrastructure: เตรียม "Hardware (คอมพิวเตอร์)" และ "Infrastructure (ระบบเครือข่าย Cloud)" ที่รองรับการทำงาน BIM

      • Training & Implementation: วางแผน "การฝึกอบรม" บุคลากร และ "การนำ BIM ไปใช้จริง" ในโครงการ

  •  

  • 2. Conceptual Design (การออกแบบแนวคิด): เริ่มต้นสร้างโมเดล BIM เบื้องต้น

    • Early Stage Modeling: เริ่ม "สร้างโมเดล BIM เบื้องต้น" ในขั้นตอนการออกแบบแนวคิด โดยเน้นที่ "รูปทรง" และ "ฟังก์ชัน" ของอาคาร

    • Design Options: ใช้ BIM ในการ "สร้างตัวเลือกการออกแบบ" หลายๆ รูปแบบ และ "เปรียบเทียบ" ข้อดีข้อเสียของแต่ละตัวเลือก โดยใช้ข้อมูลจากโมเดล BIM ในการวิเคราะห์เบื้องต้น

    • Stakeholder Review: นำเสนอ "แนวคิดการออกแบบ" ในรูปแบบโมเดล BIM ให้ "ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)" พิจารณา เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพรวมของโครงการ และให้ Feedback ในขั้นตอนเริ่มต้น

  •  

  • 3. Design Development (การพัฒนาแบบ): โมเดล BIM ละเอียดขึ้น ข้อมูลครบถ้วน

    • Detailed Modeling: "พัฒนาโมเดล BIM" ให้มี "รายละเอียดมากขึ้น" ทั้งในส่วนของ "สถาปัตยกรรม โครงสร้าง และงานระบบ (MEP)" เพิ่มข้อมูลต่างๆ เข้าไปในโมเดล เช่น วัสดุ คุณสมบัติ ราคา

    • Coordination & Clash Detection: ทำการ "ประสานงาน" ระหว่างทีมออกแบบแต่ละสาขา และ "ตรวจสอบความขัดแย้ง (Clash Detection)" ของระบบต่างๆ ในโมเดล BIM เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ

    • Analysis & Simulation: ทำการ "วิเคราะห์และจำลอง" ประสิทธิภาพอาคารในด้านต่างๆ เช่น พลังงาน แสงสว่าง โครงสร้าง เพื่อ "ปรับปรุงการออกแบบ" ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

  •  

  • 4. Construction Documentation (การทำแบบก่อสร้าง): ดึงแบบจากโมเดล BIM อัตโนมัติ

    • Drawing Extraction: "ดึงแบบก่อสร้าง 2 มิติ" (Plan, Section, Elevation, Detail) จาก "โมเดล BIM อัตโนมัติ" ประหยัดเวลาและลดความผิดพลาดในการทำแบบ

    • Bill of Quantities (BOQ): "ถอดปริมาณวัสดุ (BOQ)" จาก "โมเดล BIM อัตโนมัติ" แม่นยำ รวดเร็ว และอัปเดตตามการเปลี่ยนแปลงของโมเดล

    • Specification & Schedules: จัดทำ "รายการประกอบแบบ (Specifications)" และ "ตารางต่างๆ (Schedules)" จากข้อมูลในโมเดล BIM

  •  

  • 5. Construction Administration (การบริหารงานก่อสร้าง): ใช้ BIM บริหารหน้างาน

    • 4D BIM (Time-Liner): ใช้ "BIM 4D" ในการ "วางแผนและติดตามความก้าวหน้างานก่อสร้าง" จำลองแผนงานก่อสร้าง 4 มิติ เพื่อให้เห็นภาพรวมและลำดับขั้นตอนการก่อสร้าง

    • 5D BIM (Cost Control): ใช้ "BIM 5D" ในการ "ควบคุมงบประมาณและบริหารต้นทุน" โครงการ ติดตามค่าใช้จ่าย เปรียบเทียบงบประมาณจริงกับแผนงาน

    • Site Management: ใช้ BIM ในการ "บริหารจัดการหน้างาน" เช่น การจัดการพื้นที่ การวางแผนการขนส่งวัสดุ การตรวจสอบคุณภาพงาน การสื่อสารกับทีมงานหน้างาน

  •  

  • 6. Facility Management (การบริหารจัดการอาคาร): BIM เพื่อการบำรุงรักษาในระยะยาว

    • As-Built BIM Model: "ปรับปรุงโมเดล BIM" ให้เป็น "As-Built Model" หลังก่อสร้างเสร็จ สะท้อนสภาพอาคารจริง เพื่อใช้ในการบริหารจัดการอาคารในระยะยาว

    • Asset Management: ใช้โมเดล As-Built BIM ในการ "บริหารจัดการสินทรัพย์อาคาร" เช่น การบำรุงรักษาอุปกรณ์ ระบบต่างๆ การจัดการพื้นที่

    • Space Management: ใช้โมเดล As-Built BIM ในการ "บริหารจัดการพื้นที่ใช้สอย" ของอาคาร เช่น การจัดสรรพื้นที่ การวางแผนการใช้พื้นที่ในอนาคต

 

BIM Standards & Guidelines (มาตรฐานและแนวทาง BIM):

เพื่อให้การทำงาน BIM เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน ควร "อ้างอิงมาตรฐาน BIM" และ "แนวทางปฏิบัติที่ดี" ต่างๆ เช่น:

 

  • ISO 19650: "มาตรฐานสากล" สำหรับการบริหารจัดการข้อมูล BIM ตลอดวัฏจักรชีวิตของสินทรัพย์

  • National BIM Standard (NBIMS): มาตรฐาน BIM ของประเทศต่างๆ (เช่น US National BIM Standard, UK BIM Framework, Singapore BIM Guide)

  • องค์กรมาตรฐาน BIM: เช่น building SMART International, BIM Forum, BIM Institute

 

สรุป

 

BIM Workflow คือ "กุญแจสำคัญ" สู่ความสำเร็จในการนำ BIM ไปใช้ในโครงการก่อสร้าง การทำความเข้าใจ BIM Workflow และ "ปรับกระบวนการทำงาน" ขององค์กรให้สอดคล้องกับ BIM Workflow จะช่วยให้คุณ "ปลดล็อกศักยภาพ" ของ BIM และ "ยกระดับประสิทธิภาพ" ของโครงการก่อสร้างได้อย่างแท้จริง

 

ก้าวต่อไป: หากคุณต้องการที่จะนำ BIM Workflow ไปปรับใช้ในองค์กรของคุณ ควรเริ่มต้นจากการ "ศึกษา BIM Execution Plan (BEP)" และ "วางแผน BIM Workflow" ให้เหมาะสมกับประเภทโครงการและขนาดองค์กรของคุณ

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ):

A: BIM Workflow เหมาะกับโครงการทุกขนาด ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ โครงการขนาดเล็กอาจจะปรับ BIM Workflow ให้เรียบง่ายและยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม

A: ระยะเวลาในการ Implement BIM Workflow ขึ้นอยู่กับความพร้อมขององค์กร ขนาดองค์กร และความซับซ้อนของโครงการ โดยเฉลี่ยอาจจะใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี ในการ Implement BIM Workflow อย่างเต็มรูปแบบ

A: BIM Workflow อาจจะทำให้บทบาทหน้าที่ของคนทำงานเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่ใช่การลดจำนวนคน แต่เป็นการ "ปรับเปลี่ยนบทบาท" ให้สอดคล้องกับกระบวนการทำงาน BIM และ "เพิ่มทักษะ" ให้บุคลากรมีความสามารถในการใช้ BIM

A: ควรเริ่มต้นจากการ "ศึกษาและทำความเข้าใจ BIM Workflow" อย่างละเอียด "จัดตั้งทีม BIM" "จัดทำ BIM Execution Plan (BEP)" "เลือกซอฟต์แวร์ BIM" "ฝึกอบรมบุคลากร" และ "นำ BIM ไปทดลองใช้" ในโครงการนำร่อง

 

 


 

สั่งซื้อ Autodesk ของแท้จากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการได้ที่นี่ >>> Autodesk

สอบถามรายละเอียดโปรแกรมเพิ่มเติมได้ที่ 02-725-6400 , 084-424-2428

 

Tags : BIM Workflow, BIM Process, BIM Implementation, BIM Execution Plan, BIM Project Lifecycle, BIM Standards, BIM Collaboration Workflow, BIM Model Management, BIM Coordination, BIM for Construction, BIM for Architecture, BIM for Engineering